ลุยส์ ซัวเรซ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
![]() | |||
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ | ||
วันเกิด | 24 มกราคม ค.ศ. 1987 | ||
สถานที่เกิด | ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย | ||
ส่วนสูง | 1.81 เมตร (5.9 ฟุต) | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | บาร์เซโลนา | ||
หมายเลข | 9 [1] | ||
สโมสรเยาวชน | |||
2003–2005 | นาซีโอนัล | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | สโมสร | ลงเล่น† | (ประตู)† |
2005–2006 | นาซีโอนัล | 27 | (10) |
2006–2007 | โครนิงเงิน | 29 | (10) |
2007–2011 | อายักซ์ | 110 | (81) |
2011–2014 | ลิเวอร์พูล | 110 | (82) |
2014– | บาร์เซโลนา | 0 | (0) |
ทีมชาติ‡ | |||
2007 | อุรุกวัย ยู 20 | 4 | (2) |
2007– | อุรุกวัย | 79 | (40) |
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมสโมสร นับเฉพาะลงเล่นในประเทศ ข้อมูลล่าสุดวันที่ 12 พฤษภาคม 2014. † ลงเล่น (ประตู). ‡ นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้ทีมชาติ ข้อมูลล่าสุดวันที่ 19 มิถุนายน 2014 |
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงมอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีโอนัลในกรุงมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรซเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ไกรฟฟ์, มาร์โก ฟัน บัสเติน และแด็นนิส แบร์คกัมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่ไหล่ของนักเตะเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ออตมัน บักกัล และถูกแบน 7 นัด[2] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[3] และในฤดูกาลต่อมา เขาก็พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 ไปครอง อีกด้วย
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรซได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่งบอลโลก ยู 20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลอมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซ มีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า[4] จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรซนำทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ ซัวเรซได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟีนา[5]
สโมสรอาชีพ[แก้]
นาซีโอนัล[แก้]
ลุยส์ ซัวเรซ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีโอนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 ปี[6] คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล[6] [7] ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ[6] เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005[8] และช่วยนาซีโอนัลเป็นแชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม [9]โครนิงเงิน[แก้]
ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้น ซัวเรซ สร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม[10] หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นสัญญาซื้อ ซัวเรซ [10]หลังจบฤดูกาลนั้น สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร[6] ซัวเรซ อยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น[11]อาเอฟเซ อายักซ์[แก้]

ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลอาเอฟเซ อายักซ์
ลิเวอร์พูล[แก้]
![]() | บทความนี้อาจต้องการพิสูจน์อักษร ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ฤดูกาล 2010-11[แก้]
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ ลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟีลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ ลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดย ซัวเรซ ได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ ซัวเรซ เป็นตำนานของลิเวอร์พูลต่อจากเขาต่อไป นัดแรกที่ ซัวเรซ ได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟีลด์คือการเจอกับ สโตกซิตี โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง[12] และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้น ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซ ได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำแฮตทริก ของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว จากนั้น ซัวเรซ ก็ยิงได้อีก 3 ประตู ในนัดที่ ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-0, ชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3-0 และชนะ ฟูลัม 5-2 ทำให้ ซัวเรซ ทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 นัด และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึงบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูลฤดูกาล 2011-12[แก้]

ซัวเรซ และแอนดี แคร์โรล ในปี 2012

ซัวเรซ ดวลกับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง กองหลังของ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ในเดือนมีนาคม 2012
ฤดูกาล 2012-13[แก้]

ลุยส์ ซัวเรซ ในปี ค.ศ. 2013

ซัวเรซ ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ฤดูกาล 2013-14[แก้]
ลุยส์ ซัวเรซ โดนแบน 6 นัดแรก จากกรณีกัดแขน อีวานอวิช เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ต่อมา ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 10 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ในลีกคัพ รอบ 3 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ สเตเดียมออฟไลต์ เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่ เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฟูลัม 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสันพาร์ก 3-3 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF Award โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่เอมิเรตส์ สเตเดียม สนามของอาร์เซนอล[25] ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีก จนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติศาสตร์ของสโมสร ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคม ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 10 ประตูจาก 7 นัดในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 นัดแรกของปี 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฮัลล์ซิตี 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่ บริแทนเนียสเตเดียม 5-3 ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 23 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 3 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่ คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 29 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด[26] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 30 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่ แคร์โรว์โรด 3-2 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14 ส่งผลให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับรางวัลนี้[27] รวมทั้ง ซัวเรซ ยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 2 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย ต่อมา ซัวเรซ ได้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้าสามรางวัลของสโมสรลิเวอร์พูล ได้แก่ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ และ รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะ 40 หลา ในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคม จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[28] ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่ เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด[29] ทำให้ ซัวเรซ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013-14 ไปครอง[30] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[31] รวมทั้ง ซัวเรซ ได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะของ เรอัลมาดริด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจาก เอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84[32]
บาร์เซโลนา[แก้]
ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 บาร์เซโลนา ได้เซ็นสัญญาคว้าตัว ลุยส์ ซัวเรซ เป็นเวลา 5 ปี ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ทีมชาติอุรุกวัย[แก้]
ฟุตบอลโลก 2010[แก้]
ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้โคปาอเมริกา 2011[แก้]

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ โคปาอเมริกา 2011
ฟุตบอลโลก 2014[แก้]
ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าด้านซ้าย ทำให้ ซัวเรซ ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน และอาจทำให้เขาหมดสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลโลก ต่อมา ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ก็ตาม ต่อมา ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้เป็นตัวสำรองแต่ไม่ได้ลงสนาม ในนัดที่ อุรุกวัย พ่ายแพ้ต่อ คอสตาริกา 1-3 ในรอบแรกนัดที่สาม ที่อุรุกวัยพบกับอิตาลี ลุยส์ ซัวเรซ สร้างเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อเป็นฝ่ายไปกัดไหล่ของ จอร์โจ กีเอลลีนี กองหลังของอิตาลี ซึ่งสถานการณ์บังคับให้อุรุกวัยต้องชนะอิตาลีให้ได้เท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรรมการจะไม่เห็น แต่ทว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก็มีบทลงโทษย้อนหลัง โดยให้ซัวเรซต้องงดเล่นให้กับทีมชาติเป็นเวลานานถึง 9 นัด และยังห้ามเล่นในระดับสโมสรอีก 4 เดือน และยังสั่งปรับซัวเรซอีกเป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท[33]ซึ่งก่อนหน้านั้นซัวเรซเองก็มีพฤติกรรมเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งยังเล่นอยู่ในเอเรอดีวีซี หรือลีกของเนเธอร์แลนด์ กอรปกับฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ในรอบสี่ทีมสุดท้าย ซัวเรซก็เป็นฝ่ายใช้มือปัดลูกฟุตบอลที่กำลังจะเข้าประตูของทีมกานา ทำให้อุรุกวัยเสียจุดโทษแต่ทว่า ฝ่ายกานายิงไม่เข้า[34]
สถิติ[แก้]
สโมสร[แก้]
- ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2014.
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วย | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
นาซีโอนัล[9][35][b] | 2005–06 | 27 | 10 | 0 | 0 | 0 | 0 | 3 | 0 | 4 | 2 | 34 | 12 |
รวม | 27 | 10 | 0 | 0 | 0 | 0 | 3 | 0 | 4 | 2 | 34 | 12 | |
โครนิงเงิน[b] | 2006–07 | 29 | 10 | 2 | 1 | 0 | 0 | 2 | 1 | 4 | 3 | 37 | 15 |
รวม | 29 | 10 | 2 | 1 | 0 | 0 | 2 | 1 | 4 | 3 | 37 | 15 | |
อาเอฟเซ อายักซ์[b] | 2007–08 | 33 | 17 | 3 | 2 | 0 | 0 | 4 | 1 | 4 | 2 | 42 | 22 |
2008–09 | 31 | 22 | 2 | 1 | 0 | 0 | 10 | 5 | 0 | 0 | 43 | 28 | |
2009–10 | 33 | 35 | 6 | 8 | 0 | 0 | 9 | 6 | 0 | 0 | 48 | 49 | |
2010–11 | 13 | 7 | 1 | 1 | 0 | 0 | 9 | 4 | 1 | 0 | 24 | 12 | |
รวม | 110 | 81 | 12 | 12 | 0 | 0 | 32 | 16 | 5 | 2 | 159 | 111 | |
ลิเวอร์พูล[b] | 2010–11 | 13 | 4 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 13 | 4 |
2011–12 | 31 | 11 | 4 | 3 | 4 | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 39 | 17 | |
2012–13 | 33 | 23 | 2 | 2 | 1 | 1 | 8 | 4 | 0 | 0 | 44 | 30 | |
2013–14 | 33 | 31 | 3 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 37 | 31 | |
รวม | 110 | 69 | 9 | 5 | 6 | 4 | 8 | 4 | 0 | 0 | 133 | 82 | |
บาร์เซโลนา | 2014–15 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 |
รวม | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | |
รวมทั้งหมด | 276 | 170 | 23 | 18 | 6 | 4 | 45 | 21 | 13 | 7 | 363 | 220 |
ทีมชาติ[แก้]
ทีมชาติอุรุกวัย | ||
---|---|---|
ปี | ลงเล่น | ประตู |
2007 | 6 | 2 |
2008 | 10 | 4 |
2009 | 12 | 3 |
2010 | 11 | 7 |
2011 | 13 | 10 |
2012 | 8 | 3 |
2013 | 16 | 9 |
2014 | 3 | 2 |
รวม | 79 | 40 |
ประตูในนามทีมชาติ[แก้]
[แสดง]Goal | วันที่ | สนาม | คู่แข่งขัน | ประตู | ผล | การแข่งขัน |
---|
เกียรติประวัติ[แก้]
ระดับสโมสร[แก้]
- แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน (1): 2005-06
- แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ (1): 2010-11
- แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ (1): 2009-10
- แชมป์ลีกคัพ (1): 2011-12
ระดับชาติ[แก้]
- โคปาอเมริกา (1): 2011
รางวัลส่วนตัว[แก้]
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): 2013–14
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): 2013–14
- รองเท้าทองคำของยุโรป (1): 2013–14
- Barclays Player of the Season (1): 2013–14
- นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล (1): 2013–14
- ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ (1): 2009–10
- ESM Team of the Year (1): 2013–14
- ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (2): 2012–13, 2013–14
- Premier League Player of the Month (2): ธันวาคม 2013, มีนาคม 2014
- รองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก (1): 2013–14
- Premier League Golden Boot Landmark Award 10 (1): 2012–13
- Premier League Golden Boot Landmark Award 20 (2): 2012–13, 2013–14
- Premier League Golden Boot Landmark Award 30 (1): 2013–14
- รองเท้าทองคำของเอเรดิวีซี่ (1): 2009–10[37]
- เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด (1): 2009–10
- โคปาอเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน (1): 2011
- ผู้เล่นแห่งปีของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09, 2009–10
- ผู้ทำประตูสูงสุดของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09[38], 2009–10[39]
- Liverpool FC Player of the Year (2): 2012–13, 2013–14
- Liverpool Players' Player of the Year (1): 2013–14
- ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): 2011–12, 2012–13, 2013–14
- Liverpool Goal of the Season (2): (2012–13: เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012), (2013–14: ประตูที่ 1 เจอกับ นอริชซิตี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2013)
- Standard Chartered Liverpool Player of the Month (14): มีนาคม 2011, พฤษภาคม 2011, สิงหาคม 2011, กันยายน 2011, ตุลาคม 2011, เมษายน 2012, กันยายน 2012, ตุลาคม 2012, ธันวาคม 2012, กุมภาพันธ์ 2013, ตุลาคม 2013, พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013, มกราคม 2014
อ้างอิง[แก้]
- กระโดดขึ้น ↑ http://www.fcbarcelona.com/football/first-team/detail/article/what-number-will-luis-suarez-wear-at-fc-barcelona
- กระโดดขึ้น ↑ http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/europe/9225097.stm เว็บไซต์ BBC
- กระโดดขึ้น ↑ http://soccernet.espn.go.com/news/story/_/id/969372/kenny-dalglish:-luis-suarez-set-to-star-for-liverpool?cc=4716 เว็บไซต์ ESPN
- กระโดดขึ้น ↑ http://www.guardian.co.uk/football/2010/jul/03/world-cup-2010-hand-god-suarez ลุยส์ ซัวเรซ ให้สัมภาษณ์สื่อ
- กระโดดขึ้น ↑ "Suarez in Barcelona vader geworden van dochter" (ใน Dutch). Voetbal International. 2010-08-05. Archived from the original on 2013-01-12. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
- ↑ กระโดดขึ้นไป: 6.0 6.1 6.2 6.3 http://www.liverpoolecho.co.uk/liverpool-fc/lfc-player-profiles/luis-suarez/2011/02/09/luis-suarez-s-rise-from-the-streets-of-montevideo-to-liverpool-fc-hero-part-one-100252-28138725/2/
- กระโดดขึ้น ↑ Ben Lyttleton (4 July 2010). "In Suarez's absence Uruguay will lean even more heavily on Forlan". Sports Illustrated. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ Luis Suarez. "Biography - My History". Media Base Sports. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- ↑ กระโดดขึ้นไป: 9.0 9.1 9.2 "Football: Luis Suárez". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 31 January 2011.
- ↑ กระโดดขึ้นไป: 10.0 10.1 Matt Lawton (24 March 2011). "Luis Suarez - I want to be known for great goals not biting or that handball". Daily Mail. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ http://www.luissuarez.co.uk/en/biografia-en
- กระโดดขึ้น ↑ Mandeep Sanghera (2 February 2011). "Liverpool 2–0 Stoke". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2 February 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ Smith, Rory (13 August 2011). "Liverpool 1 Sunderland 1". The Daily Telegraph (London). สืบค้นเมื่อ 16 August 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ Phil McNulty (20 August 2011). "Arsenal 0–2 Liverpool". BBC. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 12 December 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ Sam Sheringham (26 October 2011). "Stoke 1–2 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 12 December 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ "Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties" BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 26 February 2012.
- กระโดดขึ้น ↑ "Liverpool 3–0 Everton" BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
- กระโดดขึ้น ↑ "Liverpool 4–1 Chelsea" BBC Sport. 8 May 2012. Retrieved 8 May 2012.
- กระโดดขึ้น ↑ "Norwich 2 - 5 Liverpool". BBC Sport. BBC. 29 September 2012. สืบค้นเมื่อ 29 September 2012.
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซยิ้มร่ารับรางวัลซัด 10 ตุงคนแรกประจำซีซั่น
- กระโดดขึ้น ↑ "Liverpool 4–0 Fulham" BBC Sport. 22 December 2012. Retrieved 22 December 2012.
- กระโดดขึ้น ↑ "Liverpool 5-0 Swansea" BBC Sport. 17 February 2013. Retrieved 17 February 2013.
- กระโดดขึ้น ↑ "Wigan 0-4 Liverpool" BBC Sport. 2 March 2013. Retrieved 3 March 2013.
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซซิวรองเท้าทองคำหลังซัดครบ 20 ตุง
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซได้รับรางวัล FSF Award
- กระโดดขึ้น ↑ ลิเวอร์พูลกวาดรางวัลยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนมีนาคม
- กระโดดขึ้น ↑ 6 นักเตะลิเวอร์พูลที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซกวาด 3 รางวัล ในงานประกาศรางวัลสโมสรลิเวอร์พูล
- กระโดดขึ้น ↑ 10 สถิติอันน่าทึ่งของซัวเรซ
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซเหมาอีกสองรางวัลจากพรีเมียร์ลีก
- กระโดดขึ้น ↑ 45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ
- กระโดดขึ้น ↑ ซัวเรซคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปร่วม
- กระโดดขึ้น ↑ "'ฟีฟ่า' แบน 'ซัวเรซ' 9 นัด-ห้ามข้องเกี่ยวฟุตบอล 4 เดือน". ไทยรัฐ. 26 June 2014. สืบค้นเมื่อ 27 June 2014.
- กระโดดขึ้น ↑ "ย้อนรอย 9 วีรกรรม (ฉาว) 'หลุยส์ ซัวเรซ' เทพบุตรซาตาน แห่งแอนฟิลด์". ไทยรัฐ. 9 January 2013. สืบค้นเมื่อ 27 June 2014.
- กระโดดขึ้น ↑ "Luis Suárez Statistics". Voetbal International. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
- กระโดดขึ้น ↑ "Luis Suárez Statistics". Transfermarkt. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
- กระโดดขึ้น ↑ "Football - Competition: Eredivisie 2009/2010 - Rankings - Scorers". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ "Football: club - Ajax Amsterdam 2008/2009". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
- กระโดดขึ้น ↑ "Football: club - Ajax Amsterdam 2009/2010". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น